เดือนแปดบุญแห่เทียนเข้าพรรษา



เดือนแปดบุญแห่เทียนเข้าพรรษา

               เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจะถึงวันเข้าพรรษาโรงเรียนที่เลิศ ลอย และเพื่อนๆ เรียนอยู่ได้ร่วมกับชาวบ้านคุ้มเหนือเตรียมทำบุญเข้าพรรษา  ปีนี้ทางอำเภอมอบให้หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของเอกชนร่วมกับชาวบ้าน    จัดทำเทียนเข้าพรรษาแข่งขันเป็นสองประเภท  คือประเภทสวยงาม และประเภทความคิดสร้างสรรค์   แต่ละคุ้มจะส่งประกวดประเภทใดประเภทหนึ่ง  หรือจะส่งทั้งสองประเภทก็ได้  การจัดงานบุญแห่เทียน และถวายผ้าอาบน้ำฝนปีนี้ทางอำเภอร่วมกับเทศบาลและหน่วยงานของเอกชนร่วมกันจัดยิ่งใหญ่เพื่อสืบสานประเพณีวัฒนธรรมการประกวดเน้นภูมิปัญญาชาวบ้านความคิดสร้างสรรค์ที่บ่งบอกถึงความประหยัด  เพื่อส่งเสริมให้คิดค้นจากสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นนำมาตกแต่งเทียน  หรือขบวนแห่ให้สวยงาม
            การแห่เทียนเข้าพรรษาและถวายผ้าอาบน้ำฝนจึงเป็นการทำบุญที่ต้องร่วมมือกัน     ทั้งกำลังทรัพย์และกำลังศรัทธา     สละแรงกายและความคิดช่วยกัน
             โรงเรียนนอกจากจะเป็นสถานที่เพื่อเป็นศูนย์รวมเตรียมงานแล้ว   คณะครูและนักเรียนทุกคนต่างก็ร่วมกันทำบุญตามศรัทธาเช่นเดียวกับชาวบ้านคนอื่นๆ      เพื่อเป็นทุนทรัพย์ที่พอจะจัดหาอุปกรณ์ต่างๆ เช่น  ขี้ผึ้งเพื่อหล่อเทียน     ผ้าอาบน้ำฝน  และเครื่องไทยทานอื่นๆ  ตามประเพณี
             ดังนั้นชาวบ้านผู้มีความสามารถเป็นช่างฝีมือ  ช่างแกะสลัก  ช่างศิลปะด้านต่างๆ  ทั้งผู้อำนวยการโรงเรียน    และครูฝ่ายศิลปะต่างถูกเชิญเข้าร่วมประชุมระดมความคิด    เพื่อจัดตกแต่งเทียนที่หล่อแล้ว   การจัดริ้วขบวนแห่และอื่นๆ  และล้วนจะต้องระดมความคิดช่วยกัน   ส่วนชาวบ้านนอกจากจะบริจาคทรัพย์แล้ว   ยังสละกำลังกายและความคิดให้งานบุญแห่เทียนตามประเพณีสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
            นายวันตาพ่อของเลิศก็ได้รับเชิญจากโรงเรียนมาร่วมประชุมด้วย  เนื่องจากมีฝีมือแกะสลักลายไทย  ลายกระหนกได้สวยงาม  เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คนในหมู่บ้านตลอดทั้งหน่วยงานของรัฐต่างรู้จักกันดี
         นอกจากนี่ยังมีช่างอำนวยทำแบบพิมพ์ต่างๆ ช่างศรีผู้มีฝีมือด้านช่างไม้  และช่างบุญเต็มมีฝีมือหล่อเทียน  ช่างเหล่านี้ไม่เคยพลาดหามมีงานบุญประเพณีจะถูกเชิญและเรียกใช้ประจำส่วนครูทั้งชาย-หญิงหลายคนถูกแต่งตั้งให้จัดซ้อมฟ้อนรำ  หลากหลายชนิดให้ริ้วขบวนสวยงามเพื่อหวังพิชิตรางวัล  ทั้งลำเทียนเข้าพรรษาและริ้วขบวนแห่ทั้งสองประเภทเลยทีเดียว….
                ปีนี้ลำเทียนของเราตกแต่งเป็นเรื่องราวพระเวสสันดรน่าจะดี ”  ช่างอำนวยผู้มีความชำนาญการแบบพิมพ์นำเสนอ….
                ก็น่าจะดีเทียนพรรษาประเภทความคิดสร้างสรรค์  ลำเทียนบอกเนื้อหารูปพระเวสสันดรสิบสามกัณฐ์    ช่างบุญเติมเสริม
                เวลาแห่เทียนพรรษาบนรถเราทำซุ้มทั้งสี่ทิศเป็นรูปพญานาคเลื้อยลงจากที่สูง     ช่างอำนวยเสนออีก
                ครับ….ผมว่ามันเป็นความคิดแตกต่างจากปีที่ผ่านมาผมจำได้ว่าปีที่แล้วลำเทียนของเราตกแต่งด้วยลายไทย ลายกระหนกใช่มั้ยช่างวันตา     อาจารย์อุทิศผู้อำนวยการโรงเรียนกล่าวเสริม และหันไปถามช่างวันตา
                ใช่ครับ     ช่างวันตาตอบ ก่อนเสนอแนะว่า
                ปีนี้การทำลายไทย ลายกระหนกจากเทียน  เราเน้นตกแต่งฐานต้นเทียน  และซุ้มพญานาคทั้งสี่ทิศดีมั้ยครับ 
                ดีครับ  ลำเทียนพอมองเห็นเป็นรูปเป็นร่างขณะลงมือทำเห็นว่าควรเพิ่มอะไรเราค่อยคิดกันอีกที  ส่วนริ้วขบวนแห่จะมีฟ้อนรำหรือเซิ้งอะไรมอบให้อาจารย์มยุรีไปปรึกษาหารือกับอาจารย์คำรบครูสอนศิลปะ การแต่งกายฟ้อนรำหรือริ้วขบวนเน้นสิ่งที่มีในท้องถิ่น ให้ออกมาเป็นศิลปะภูปัญญาไทย 
              ผู้อำนวยการกล่าวเป็นเชิงสรุป  การปรึกษาหารือเรื่องงานบุญแห่เทียนเข้าพรรษา   วันนั้นเลิกประชุมเวลาเที่ยงตรง
              หลังจากวันนั้น  เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ลงมือทำงานโดยใช้หอประชุมอเนกประสงค์ของโรงเรียนเป็นที่ทำงาน  ชาวบ้านคนอื่นๆ มาช่วยเป็นกำลังให้งานสำเร็จ เช่น ช่วยต้มเทียนเทลงแม่พิมพ์  ช่วยเตรียมอาหารมื้อเที่ยงเป็นที่สนุกสนานเพราะมีการพูดจาหยอกเย้า บ้างก็พูดเรื่องตลกเล่าสู่กันฟังหัวเราะครื้นเครง
                ทุกฝ่ายต่างช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น   ช่วงบ่ายอาจารย์มยุรีซ้อมขบวนฟ้อนรำของหนุ่มสาวชาวบ้าน  ซึ่งปีนี้ซ้อมรำเซิ้งสาวไหม  ส่วนอาจารย์คำรบซ้อมกองดุริยางค์ ซ้อมเดินขบวนนักเรียนชาย-หญิงแต่ละช่วงชั้นถูกคัดเลือกมาซ้อมรำ  โดยมอบหมายให้ครูหัวหน้าแต่ละฝ่าย  แต่ละช่วงชั้นปรึกษาหารือกันว่าจะเลือกซ้อมฟ้อนรำอะไรในริ้วขบวนแห่เทียน  หนึ่งชั่วโมงสุดท้ายของเด็กๆแต่ละห้องจัดให้เป็นการฝึกซ้อม  คือตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐-๑๗.๐๐ น.  ของทุกวันจนกว่าจะถึงวันแห่เทียนเข้าพรรษาถือเป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนวันละ ๒ โมง
                  ช่วงเวลาบ่ายสองโมงวันหนึ่ง  เป็นการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา  เรื่องวันสำคัญทางพุทธศาสนา   อาจารย์อรุณีได้กล่าวกับนักเรียนชั้น ม.๓ ว่า
                   อีกไม่กี่วันจะถึงวันเข้าพรรษา  ซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง   ช่วงนี้โรงเรียนเราร่วมกับชาวบ้านคุ้มเหนือกำลังเตรียมงาน  ครูจะให้นักเรียนเข้าห้องสมุดค้นคว้าเรื่องวันเข้าพรรษา  สาเหตุที่ต้องมีวันเข้าพรรษาและกิจกรรม  ในฐานะเราเป็นชาวพุทธเราจะปฏิบัติอย่างไร  ครูจะแบ่งกลุ่มเพื่อทำรายงานส่งครู ทำให้ทันส่งในคาบเรียนนี้ได้จะดีมาก  เพราะคาบเรียนสุดท้ายเราจะได้ลงไปซ้อมรำกลางสนามกัน 
                     หลังจากนั้นอาจารย์อรุณีอนุญาตให้นักเรียนเข้าห้องสมุด เลิศ คำผง มิ่ง อรทัย  และสุกัญญาอยู่กลุ่มเดียวกัน  โดยมีเลิศเป็นหัวหน้ากลุ่ม  เลิศบอกเพื่อนๆในกลุ่มว่า
                        เรารีบทำรายงานให้เสร็จในคาบเรียนนี้    คิดว่าไม่ยากเพราะหนังสือสังคมเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามีให้เราค้นคว้าเพียงพอให้อรทัย  และสุกัญญาสรุปลงในใบงาน  ผมจะเป็นผู้ออกไปรายงานมิ่งกับคำผงวาดภาพประกอบ 
                     เพื่อนทุกคนต่างพอใจในงานที่ได้รับมอบหมาย  เพราะก่อนที่จะทำหน้าที่ของตนออกมาได้นั้น  ทุกคนต้องอ่านและศึกษาเรื่องราวก่อน   ในคาบเรียนวันนั้นกลุ่มของเลิศได้ทำรายงานประกอบภาพลงสีสวยงามตามเนื้อหาดังนี้….
                    เข้าพรรษา  เป็นบุญเดือนแปด  ซึ่งอยู่ในช่วงฤดูฝน
                    วันเข้าพรรษา  ตรงกับวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘
                   

                    สาเหตุการเข้าพรรษา

                    เมื่อครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพ  ยังไม่มีพุทธบัญญัติให้พระภิกษุในพระพุทธศาสนาเข้าพรรษา   แม้จะเป็นช่วงฤดูฝนพระภิกษุก็ยังเที่ยวจาริกโปรดสัตว์ไปในที่ต่างๆ  ที่ชาวนาชาวไร่ปลูกไว้ เสียหาย  แม้สัตว์ แมลงเล็กๆ ก็พลอยถุกเหยียบย่ำ ชาวนาต่างพูดว่า
                      ทำไมฤดูฝนพระภิกษุจึงไม่หยุดบ้าง  แม้แต่นกยังหยุดสร้างรัง ออกไข่ฟัก เลี้ยงลูกเล็กๆ 
พระพุทธเจ้าได้ยินข้อกล่าวหาของชาวนาเป็นเชิงตำหนิ  ดังนั้นพระองค์จึงทรงบัญญัติให้พระภิกษุในพระพุทธศาสนาจำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน  ระหว่างจำพรรษาจะพักแรมค้างคืนที่อื่นไม่ได้  ถ้าฝ่าฝืนจะผิดกกอาบัติตามพุทธบัญญัติ
                       เมื่อรายงานมาถึงตรงนี้   สุกัญญาซึ่งเขียนหนังสือสวยหันไปถามเลิศว่า
                         รายงานแค่นี้พอหรือยังเลิศ 
                       เลิศอ่านเรื่องนี้จบแล้ว   เมื่อใบงานจากสุกัญญาจึงอ่านอีกครึ่งหนึ่ง  หลังอ่านจบแล้ว  เขาจึงเสนอแนะว่า
                        เรื่องยังไม่สมบรูณ์นะครับ  พระพุทธเจ้าทรงมีข้อยกเว้นระหว่างเข้าพรรษา  พระภิกษุสามารถไปค้างที่อื่นได้เมื่อกรณีจำเป็น เช่น ญาติโยมที่เป็นบิดามารดาป่วยก็ทำ สัตตาหกรณียะคือ  การแสดงตนต่อหมู่สงฆ์เพื่อการอนุญาตไปค้างแรมที่อื่นได้เป็นเวลา ๗ คืน 
                        ถ้างั้นก็บันทึกลงรายงานจนจบ  ”สุกัญญากล่าวเสริม
                        ใช่คำผง มิ่งอ่านจบรึยัง  ” เลิศหันมาถามฝ่ายวาดภาพ
                         จบแล้ว นี่กำลงวาดภาพเป็นตอนๆ  ” คำผงบอก
                       ส่วนมิ่งกำลังระบายสีที่วาดเสร็จแล้ว
                        นี่ญาเอามาให้ฉันเขียนต่อก็ได้  ” อรทัยบอกสุกัญญาแล้วรับรายงานมาเขียน  โดยไม่พูดจาเพราะเธอกลัวจะไม่เสร็จทันคาบเรียนวิชาอื่น  ซึ่งเป็นการฟ้อนรำเตรียมงานวันแห่เทียน

                          เหตุจำเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้ ๔ กรณีคือ
                         .สหธรรมิก (ผู้มีธรรมร่วมกัน)กรณีบิดา-มารดาป่วยไปเพื่อรักษาพยาบาล
                         .สหธรรมิก   ผู้เป็นญาติธรรมร่วมบวชในพุทรศาสนาคิดจะสิกขาลาเพศจากบรรพชิต  ก็สามารถขออนุญาตไปเพื่อระงับการจะลาสิกขาบทของพระภิกษุรูปนั้นได้
                         . มีกิจสงฆ์เกิดขึ้น เช่น  โบสถ์   วิหารชำรุด   ไปเพื่อปฏิสังขรณ์
                          . ทายกบำเพ็ญกุศล  ส่งคนมานิมนต์  เพื่อไปบำรุงศรัทธา
การทำสัตตาหกรณียะ  หรือการขอไปค้างคืนนอกวัดที่จำพรรษาของพระภิกษุจะต้องกลับวัดที่จำพรรษาภายใน ๗ วันนั่นเอง
                          เสียงออดหมดชั่วโมงเรียนเด็กๆ  ต่างดีใจ  เพราะเป็นชั่วโมงต่อไปจะได้ไปซ้อมรำ ขณะเก็บหนังสือสุกัญญาถามเลิศว่า
                         พิธีทำบุญเข้าพรรษา   เอาไว้ปฏิบัติกันจริงแล้วค่อยมารายงานต่อดีมั้ย? 
                          ได้อาจารย์บอกว่า  เรื่องวันเข้าพรรษารายงานสรุปหลังพิธีแห่เทียน  ” เลิศบอก
                        นักเรียนชั้น  .๓ ทยอยไปพบครูที่ฝึกซ้อม  ขณะนี้ครูมยุรีกำลังฝึกซ้อมรำให้หนุ่มสาวชาวบ้าน  งานแห่เทียนเข้าพรรษานับว่าเป็นงานที่ชาวบ้านและโรงเรียนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง  ซึ่งถือเป็นประเพณีถือกันมา  บ้าน  วัด  และโรงเรียนหากร่วมมือกันอย่างดีแล้ว   การพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก็ทำได้ง่ายขึ้น
                      อรทัย  สุกัญญา  เลิศ   คำผง  และมิ่งฝึกซ้อมรำภูไท  ส่วนลอย  ไกร  มะลิ  ธิดาวรรณ   นักเรียนชั้น  .  ซ้อมฟ้อนเซิ้งกะลาชั่งโมงสุดท้ายของการเรียนได้ยินเฉพาะเสียงดนตรีซ้อมฟ้อนรำดังมาจากเครื่องบันทึกเสียงไม่ขาดระยะ   ส่วนอาคารอเนกประสงค์ก็มีช่างหล่อเทียนกำลังก้มหน้าก้มตาตกแต่งประดับประดาต้นเทียนอย่างสวยงาม….
                       กลุ่มแม่บ้านช่วยกันประดิษฐ์ดอกไม้จากรังไหม   เตรียมไว้ตกแต่งรถต้นเทียน    ว่าทุกคนจะกลับเข้าบ้านก็มืดค่ำทุกวัน….
  และแล้ววันงานก็มาถึง….
                    ตอนเช้าวันขึ้น ๑๕  ค่ำ  เดือน     ชาวบ้านและครูอาจารย์ไปทำบุญตักบาตรตั้งแต่เช้าตรู     ส่วนครูที่มีหน้าที่แต่งตัว  แต่งหน้าให้หนุ่มสาว   และนักเรียนชาย-หญิงที่ฟ้อนรำนำริ้วขบวนนัดพบกันที่หน้าโรงเรียนตั้งแต่เช้าเพื่อแต่งตัว  แต่งหน้า  รถต้นเทียนเคลื่อนรอที่กลางสนามหน้าโรงเรียน    ผู้สูงอายุแต่งตัวเหมือนคนสมัยโบราณอย่างพร้อมเพรียงกัน    หลังทานข้าวเที่ยงกันเสร็จก็ออกมาพบกันที่หน้าโรงเรียน    ต่างรับห่อเครื่องไทยทานซึ่งมีผ้าอาบน้ำฝน  และเครื่องใช้ต่างๆ เช่น สบู่  ยาสีฟัน  ผงซักฟอก  และจตุปัจจัยต่างๆ  ซึ่งถูกห่อด้วยผ้าอาบน้ำฝนพับเป็นรูปดอกบัว  แล้วห่อด้วยกระดาษแก้วสีเหลืองอีกครั้งหนึ่ง
                    เมื่อทุกขบวนพร้อมแล้วก็มีเสียงนกหวีดดังขึ้นที่กลางสนามหน้าอาคาร    ครูคำรบผู้ควบคุมกองดุริยางค์ได้รับหน้าที่จัดริ้วขบวนดรัมเมเยอร์ซึ่งเป็นนักเรียนหญิงห้าคนเป็นผู้นำขบวนแห่    ต่อจากนั้นเป็นนักเรียนขบวนดุริยางค์ของโรงเรียน     ขบวนของผู้สูงอายุในชุดไทยสมัยโบราณถือเครื่องไทยทาน
และผ้าอาบน้ำฝนตามด้วยรถต้นเทียนเข้าพรรษา    จากนั้นเป็นริ้วขบวนฟ้อนรำของนักเรียนช่วงชั้นที่  -  และ ๓  ต่อด้วยริ้วขบวนรำเซิ้งของหนุ่ม-สาวเซิ้งสาวไหม  เซิ้งรำโปงลาง  และปิดท้ายฟ้อนรำสี่ภาคของหนุ่ม-สาวอีกชุดหนึ่ง
                   อาจารย์คำรบให้สัญญาณกองดุริยางค์บรรเลง  ดรัมเมเยอร์นำขบวนจากบริเวณโรงเรียน    นับเป็นริ้วขบวนที่ยาวเหยียดท่ามกลางเสียงบรรเลง  และดนตรีประกอบการฟ้อนรำ-รำเซิ้งตรงไปสู่ลานสนามกว้างหน้าสระน้ำใหญ่   ซึ่งเป็นบริเวณจัดงานของเทศบาล  ใช้เป็นสถานที่จัดงานของทางอำเภอไม่ว่าจะเป็นงานวันสางกรานต์   งานลอยกระทง  งานแห่เทียน  และงานประเพณีอื่นๆ
                  ขบวนแห่เทียนของทุกคุ้มและทุกหน่วยงานต่างเคลื่อนขบวนมาตั้งแถงสนามหน้าสระน้ำใหญ่   ต้นเทียนแต่ละโรงเรียน  ซึ่งร่วมกับหน่วยงานต่างตกแต่งแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม  และสร้างสรรค์ตามแนวความคิดก็มีหลากหลาย   ทุกขบวนเริ่มต้นที่จุดเดียวกัน…..
ครั้นบ่ายสามโมงตรงจึงเคลื่อนขบวนแห่เทียนไปตามถนนสายสำคัญของอำเภอ    ขณะเคลื่อนขบวนนี้คณะกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งจะเดินตรวจให้คะแนนริ้วขบวนแห่เป็นอันดับแรกว่าขบวนใดจัดได้สวยงาม  มีความพร้อมเพรียงและเป็นระเบียบ
                         เมื่อริ้วขบวนทุกโรงเรียนและคุ้มต่างๆ  แห่เทียนตามถนนครบแล้ว   ริ้วขบวนแห่เทียนกลับมาที่สนามหน้าสระน้ำใหญ่ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นอีกเพราะเทียนทุกต้นจะตั้งโชว์   เพื่อให้คะแนนต้นเทียนที่ประกวดอีกครั้งหนึ่ง   คืนนี้มีการเฉลิมฉลองต้นเทียนเครื่องไทยทาน  ผ้าอาบน้ำฝน   และข้าวสารอาหารแห้งอื่นๆถูกจัดวางอย่างสวยงาม เพื่อนำไปถวายพระในวันรุ่งขึ้น
                        คืนนี้มีภาพยนตร์จอยักษ์   และวงดนตรีลูกทุ่งของโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอซึ่งมีชื่อเสียงเคยประกวดวงดนตรีลูกทุ่งชิงช้าสวรรค์ในรายการโทรทัศน์    ได้รับรางวัลชนะเลิศและรางวัลอื่นๆ  อีกมากมายมาแสดงให้ชม  เพื่อเป็นการฉลองต้นเทียนเข้าพรรษาประจำปี
                      ครั้นวันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันแรม    ค่ำ   เดือน   ต้นเทียนเข้าพรรษา    พร้อมด้วยผ้าอาบน้ำฝน  เครื่องไทยทานอื่นๆซึ่งมีอาหารแห้ง  ต่างแห่ไปตามวัดต่างๆ
                          เมื่อแห่ต้นเทียน    ผ้าอาบน้ำฝน  และเครื่องไทยทานถูกผู้นำขึ้นสู่ศาลาการเปรียญต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์แล้ว  มัคนายกนำอาราธนาศีล    รับศีลห้าพร้อมกันแล้วนำกล่าวคำถวายเทียนเข้าพรรษา    ผ้าอาบน้ำฝนและเครื่องไทยทานอื่นๆ  แล้วจึงน้อมถวายพร้อมกันทุกคน   หลังจากนั้นพระสวดมนต์ให้พรจึงอันเสร็จพิธี  ซึ่งตรงกับวันแรม     ค่ำ   เดือน    พอถึงเวลาช่วงเย็นวันนี้พระสงฆ์ภายในวัดพร้อมเพรียงกันในโบสถ์เพื่อทำวัตรเย็น   หลังจากทำวัตรเสร็จพระสงฆ์ทุกรูปจะตั้งนะโมพร้อมกัน  ๓ จบ  แล้วแต่ละรูปจะกล่าวคำเข้าพรรษาเป็นภาษาบาลีว่า อมัสมิง  อาวาเส  อิมัง  เตสามัง  วัสสัง  อุเปมิ  เริ่มจากเจ้าอาวาสตามลำดับอาวุโสจนกระทั่งถึงสามเณร   การเข้าพรรษาของพระสงฆ์  และสามเณรได้เรื่มขึ้นแล้ว





 เดือนสิบเอ็ดบุญออกพรรษา

“ ฉึกฉักฉึกฉักฉึกฉัก”
                        เสียงรถไฟขบวนยาวเหยียดแล่นตามรางพุ่งไปข้างหน้าราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด   เลิศ  ลอย  และอิ่มใจนั่งมองไปที่หน้าต่างต้นไม้และทุ่งนาแล่นสวนทางกับขบวนรถไฟ    ภาพที่มองเห็นในทุ่งนามีเด็กๆ กำลังต้อนควาย  ขี่ควาย  และบ้างก็มีนกกระยางเกาะหลังควายที่กำลังกินหญ้าอยู่ริมหนองน้ำใหญ่   นกกระยางบางตัวกำลังเดินย่องจ้องจับปลาอยู่ริมหนองน้ำ  หากมีปลาตัวใดเผลอลอยขึ้นอย่างไม่ระวังมีหวังจะถูกจะงอยปากยาวๆ จิกเข้าปากขยอกลงท้องชั่วพริบตาเดียว
                   วันนี้พ่อ  แม่  เลิศ  และน้องทั้งสองเดินทางไปเยี่ยมตายายอีกจังหวัดหนึ่งที่ติดลำแม่น้ำโขง  ซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนประเทศไทยและประเทศลาว  แม่ของเลิศเป็นคนจังหวัดนครพนม   พ่อและแม่เลือกเดินทางมาเยี่ยมตายายช่วงใกล้วันออกพรรษา  เพราะหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของแม่มีประเพณีแข่งเรือและงานไหลเรือไฟสืบทอดประเพณีมาช้านาน  นับเป็นงานประเพณียิ่งใหญ่มีชื่อเสียงโด่งดังของจังหวัด   ที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวต่างชาตินิยมไปท่องเที่ยวมากมาย….
                    ตายายมีบ้านอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำโขง  ตายายอยู่กับป้าอำภา(พี่สาวแม่) ป้าอำภาแต่งงานกับลุงประสิทธิ์     ลุงประสิทธิ์ทำงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคของจังหวัด   ป้ากับลุงมีลูก    คน  ชายหนึ่งคน  หญิงหนึ่งคน   ลูกชายชื่อเปรม ลูกสาวชื่อปิยวดี  หรือพี่ตาล  พี่เปรมทำงานที่เดียวกับพ่อ   ส่วนพี่ตาลกำลังเรียนมหาวิทยาลัยที่จังหวัดขอนแก่น  ทั้งสองมีศักดิ์เป็นพี่ชายและพี่สาวของเลิศ  ลอย  และอิ่มใจ
                       พ่อต้นไม้มันแล่นสวนรถไฟที่เรานั่งใช่มั้ย     ลอยถามพ่อที่นั่งอยู่ใกล้ๆ  ขณะมองต้นไม้ที่แล่นสวนมาเรื่อยๆ  ตามความรู้สึกของเขา
                    ต้นไม้มันอยู่กับที่แหละลูก  ความเร็วของรถทำให้เราดูเหมือนต้นไม้วิ่งสวนกับเรา    พ่อตอบ  ซึ่งนั่งอยู่ที่เดียวกับลอยอิ่มใจผละมายืนเกาะพนักพิง  พ่อพูดขึ้นว่า    แต่อิ่มใจเห็นมันวิ่งสวนเราเหมือนพี่เลย 
                  เลิศนั่งที่เดียวกับแม่หัวเราะหึๆ  ก่อนจะยืนหน้ามาสัพยอกเย้าน้องสาวว่า “  ถ้าอิ่มลงไปยืนกลางทุ่งนาโน่น  อิ่มก็จะดูเหมือนวิ่งสวนทางกับรถไฟเหมือนกัน 
                  ไม่ล่ะอิ่มไม่วิ่งหรอก  วิ่งทำไมเหนื่อยเปล่าๆ 
                บนรถไฟมีผู้คนมากมาย  รถวิ่งมาหยุดสถานีหนึ่ง   มีหญิงชราขึ้นมายืนโบกี้ข้างๆ  ที่เลิศนั่งอยู่กับแม่  เลิศลุกขึ้นยืนพลางบอกกับหญิงชราว่า
                    ยายครับ….นั่งตรงนี้เถอะครับ    เลิศชี้บอกหญิงชรา
                   เออ ขอบใจนะพ่อหนุ่ม  เรียนชั้นไหนช่างมีน้ำใจเหลือเกิน  “ ยายเงยหน้ามองเลิศ
                   กำลังเรียน ม. ๓ ยาย  “ แม่นั่งอยู่ใกล้ยายตอบแทนเลิศ
                    ลูกชายหนูรึจ๊ะ …. “ ยายถาม
                    จ้ะ เขาเป็นลูกชายหนูเอง“ แม่ตอบ
                   “ โอ้ช่างรู้จักสอนลูกให้มีน้ำใจกับคนเฒ่าคนแก่  นี่ไปกันเป็นนครอบครัวล่ะสิ “  ยายหันหน้าไปฝั่งที่พ่อนั่ง  ซึ่งมีลอย  และอิ่มใจกำลังมองมายังยายชราเช่นกัน
                  “ จะไปเยี่ยมตายายที่จังหวัดนครพนมจ้ะ” แม่ตอบ
                     มีลูกเป็นคนดีน่าปลื้มใจ  ขอให้เรียนหนังสือเก่งๆ จบชั้นสูงๆ ทำงานมีเงินเดือนเยอะๆ นะพ่อหนู      ยายให้ศีลให้พรเลิศอย่างเอ็นดู  แม่คุยกับยายชราคนนั้นจนถึงปลายทาง
                    จะลงสถานีนี่หรือ    ยายเพิ่งรู้จักกันระหว่างทางถามแม่
                   “ จ้ะยาย  จะลงสถานีนี่แหละ   แล้วต่อรถยนต์อีกจึงจะถึงบ้านตายาย  แล้วยายล่ะจะลงสถานีไหน  “ แม่ย้อนถาม
                      ยายไปลงหนองคายจะไปเยี่ยมลูกสาวคลอดลูกอยู่ที่โรงพยาบาลในจังหวัด….  ยายบอก
พ่อแม่และเด็กๆ ยกมือไหว้ลายาย  เมื่อรถจอดสนิทเทียบชานชาลาแล้วจึงลงรถไฟ
                     ช่างเป็นครอบครัวที่น่ารัก   น่ามีความสุขกันจริงๆ 

                      เสียงยายส่งเสียงให้ได้ยินตามหลัง  พ่อ แม่ เลิศ และน้องๆ  โดยสารรถยนต์ไปจังหวัดนครพนม  บ้านตายายอยู่ในอำเภอเมือง  ซึ่งจังหวัดนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง    เลิศกับลอยต่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นแม่น้ำที่เคยอ่านเจอในหนังสือเรียนอีกครั้ง   ทั้งสองเคยมาบ้านตาและยายสองสามครั้ง  แต่นานมากแล้วเมื่อครั้งโรงเรียนปิดเทอม  ซึ่งตอนนั้นอิ่มใจยังกินนมแม่อยู่เลย
                       พ่อแม่เราแต่งงานกันได้อย่างไรอยู่ไกลกันขนาดนี้  “ลอยยื่นหน้ากระซิบกับพี่ชาย….
เลิศทำหน้ายิ้มๆก่อนตอบว่า “  บุพเพสันนิวาสไงรู้จักมั้ย  “ ลอยทำหน้าเหรอ  เลิศอ่านหนังสือในห้องสมุดโรงเรียนมามาก  จึงพอจะอธิบายให้ลอยเข้าใจ “  การทำบุญร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อนไง  “ ลอยผงกศรีษะหงึกๆ    เห็นทีจะต้องอ่านหนังสือมากๆเหมือนพี่เลิศบ้างจะได้ฉลาด 
                      ดีการอ่านหนังสือเป็นการเปิดโลกกว้าง  “เลิศบอก
                     เมื่อมาถึงบ้านตายาย  ซึ่งเรือนใต้ถุนสูงหลังใหญ่  ปลูกในสวนร่มรื่นด้วยผลไม้  เช่น มะม่วง  น้อยหน่า ละมุด  ชมพู่และกล้วยน้ำว้า  ทุกคนได้พบยายนั่งกินหมากอยู่ใต้ถุนบ้าน   สายลมพัดจากแม่น้ำโขงผ่านสวนร่มรื่นทำให้รู้สึกเย็นสบาย   พ่อแม่และเด็กๆ ต่างนั่งลงกราบยาย  ยายขยับแว่นตาจ้องมองหลานๆ
                      โอ้ปลีหรือ    ยายอุทานสีหน้ายิ้มบอกอาการตื่นเต้นถ้าไม่เห็นปลีกับวันตา   แม่จำหลานๆไม่ได้นะเนี่ย
                     พ่อกับแม่พลอยหัวเราะไปกับยายด้วย เสียงแม่บอกกับยายว่า
                      นี่เลิศกับลอย  นั่นหนูอิ่มใจ 
                      เออเออ  หลานตาหลานยายโตเป็นหนุ่มแล้ว  หนูอิ่มครั้งที่แล้วยังดูดนมแม่อยู่เลย    ยายว่า  พลางดึงหลานสาวมากอดลูบหน้าลูบหลังอย่างเอ็นดู
                   พ่อไปไหนล่ะแม่  ” แม่ถาม
                      ออกไปวัดตั้งแต่กินข้าวเช้าแล้ว  พระครูที่วัดท่านให้ไปช่วยดูการทำเรือไฟจะส่งเข้าประกวดงานออกพรรษานั่นแหละ  ตอนนี้กำลังเอ้เรือให้สวยงาม  พรุ้งนี้ก็เป็นวันออกพรรษาแล้ว  “ ยายบอก
                  เอ้เรือที่ยายเอ่ยถึง  หมายถึงการตกแต่งประดับประดาเรือให้สวยงาม
                      ตาเป็นผู้มีฝีมือการทำเรือไฟมาตั้งแต่หนุ่ม  แม้ตอนนี้อายุเจ็ดสิบแล้วตายังช่วยดุแลกำกับการสร้างตกแต่งเรือไฟ   ตานับว่าเป็นบุคคลที่ทรงภูมิปัญญาแห่งท้องถิ่นคนหนึ่งเกี่ยวกับบุญประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดทุกปี
                        ตาและยายแม้อายุจะอยู่ในวัยชราแต่ยังแข็งแรง  ลุกเดินคล่องแคล่ว  หูตาใช้การได้ดี   ยังมีเรี่ยวแรงดูแลผลไม้ในสวนเท่าที่คนในวัยนี้จะทำได้ดี   ได้ออกกำลังกายเช้า- เย็น ทำให้ตาและยายเป็นคนแก่ที่ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
                       ป้าอำภาลงมาจากบ้าน   พ่อและแม่พาลูกๆทำความเคารพป้า
                          เลิศ ลอย ปีนี้โตขึ้นเยอะเชียว  แล้วเจ้าตัวเล็กล่ะชื่ออะไร 
                          อิ่มใจยกมือไหว้ป้า บอกว่า  หนูชื่ออิ่มใจเรียนอยู่ชั้น ป.  ค่ะ 
                           โอ้ เก่งๆหลานป้ามาคราวก่อนยังดูดนมแม่อยู่เลยคราวนี้โตจน เรียน ป.  แล้ว  พูดจาฉะฉานทีเดียว     ป้าอำภาชม
                         ลุงไปไหนล่ะป้า  “ พ่อถามหาลุง
                          อยู่ที่วัดกันหมดนั่นแหละ   พรุ่งนี้จะถึงวันงานแล้วต้องออกไปช่วยกัน  ทั้งพี่เปรมของเลิศก้อยู่นั้นแหละ   “ ป้าอำภาบอก
                         พี่ตาลมาบ้านหรือเปล่าครับป้า    เลิศถาม
                        พี่ตาลติดสอบ   เลยไม่ได้มาร่วมบุญไหลเรือไฟ  “ ป้าบอก
                       เลิศ  ลอยบอกกับแม่ว่า  แม่ผมกับลอยจะไปหาตาที่วัด  อยากจะดูเรือไฟขณะกำลังตกแต่งจะเป็นอย่างไรเลิศ และลอยรู้จักเส้นทางไปวัด  ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านพ่อแม่อนุญาต และยังได้รับคำสนับสนุนจากยายว่า
                         ไปเถอะลูก  ตาจะได้ดีใจที่เห็นหลานชายมาเยี่ยม  ไปดูเรือไฟหมู่บ้านเราว่าจะสวยสู้หมู่บ้านอื่นได้หรือเป่ลา 
                เลิศ ลอยมาหาตาที่วัด ทั้งสองเข้าไปไหว้ตา  และกราบท่านพระครูเจ้าอาวาสที่นั่งเก้าอี้คนละตัวกับตา  ดูแลการประดับประดาเรือไฟ  โครงสร้างเป็นเรือสุพรรรหงษ์
                    เลิศ ลอยมากับใครลูก     ตาถาม
                   มากับพ่อแม่และน้องอิ่มใจครับ    ลอยตอบ
                 ท่านพระครูเจ้าอาวาสก็พลอยพุดคุยกับเด็กๆอย่างเอ็นดู
                 เคยมาเที่ยวบุญไหลเรือไฟกี่ครั้งแล้ว  “ ท่านพระครูถาม
                เคยมาบ้านตานี่ 2-3 ครั้ง แต่เพิ่งมาตรงกับวันงานบุญไหลเรือไฟเป็นครั้งแรกครับ      เลิศตอบ
               เสียงระฆังดังเหง่งเหง่งขึ้นท่ามกลางเสียงสุนัขหอนลากเสียงยาว สุนัขในวัดไม่ได้เห็นผีแต่เสียงระฆังก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนภายในช่องหู  พวกมันจึงหอนออกมาเพื่อลดการสั่นสะเทือน
                   บ่ายสี่โมงถึงเวลาทำวัตรเย็นแล้วโยม   ขอตัวไปทำวัตรก่อนนะ   ท่านพระครูเอ่ยกับตา  แสดงความสนิทสนมคุ้นเคยกันอย่างดี
                  นิมนต์ครับท่านพระครู ตาพนมมือพร้อมกับกล่าวนิมนต์
                     “ โอ้โหทำเรือสุพรรณหงส์  สูงแหงนคอตั้งบ่าเลย “ ลอยพูดพลางแหงนดูเรือไฟสุพรรณหงส์ที่กำลังตกแต่ง  บางคนกำลังระบายสีที่ฐานมองดูคล้ายกับลอยอยู่บนผิวน้ำ  บ้างก็กำลังประดับประดาไฟตามแนวเรือสุพรรณหงส์   ทุกคนต่างขะมักเขม้น  เพราะพรุ่งนี้ก็เป็นวันงาน  กลางวันมีแข่งขันเรือพาย  ประกวดเรือไฟ  และขบวนแห่ของชุมชนต่างๆ
                           บุญประเพณีไหลเรือไฟจัดทำทุกปีหรือเปล่าครับตา “ เลิศถาม
                            ทุกปีลูก   บุญประเพณีไหลเรือไฟแต่ก่อนไม่ได้ประกวดประชันแข่งขันกันหรอก  ครั้นถึงวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ตรงกับวันออกพรรษา   ชาวบ้านจะทำเรือไฟก็ทำกันง่ายๆ ให้ดูเป็นรูปเรือโดยใช้ต้นกล้วย  ทำหัวทำหางให้เหมือนเรือ   ถึงเวลากลางคืนชาวบ้านและพระสงฆ์จะนำธูปเทียนมาจุดให้เกิดแสงสว่างหน้าโบสถ์  ทำเช่นนี้สามคืนเพื่อบูชาพระรัตนตรัยตามตำนานธรรมบททางพุทธศาสนากล่าวไว้ว่า  พระอนุรุทธเถระผู้เป็นพระอรหันต์ได้รับคำยกย่องว่า  เป็นผู้มีตาทิพย์มองเห็นเหตุการณ์ต่างๆทั้งโลกมนุษย์โลกสวรรค์และโลกบาดาล  เพราะได้อานิสงส์ถวายจุดไต้ดวงประทีปในวันออกพรรษา  จึงเกิดประเพณีไหลเรือไฟมาจนบัดนี้"

ขอบคุณข้อมูลจาก
หนังสือประเพณีสิบสองเดือน
เขียน   :  โชติ   เทียนสุวรรณ
พิมพ์ครั้งแรก  : พฤษภาคม ๒๕๕๑
 
 

10 ความคิดเห็น:

  1. เป็นเรื่องที่ให้ความรู้มากค่ะ

    ตอบลบ
  2. เพิ่มรอยหยักให้สมองมาก

    ตอบลบ
  3. มีความรู้เพิ่มมากอีกเลย

    ตอบลบ
  4. เนื้อหาน่าสนใจค่ะ

    ตอบลบ